มอยเจอร์ไรเซอร์ เป็นอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในการบำรุงผิวที่ใครหลายคนเลือกใช้ เพราะเป็นผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในการป้องกัน และ บำรุงผิวจากการแห้ง คัน และ ระคายเคือง ด้วยการให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว ใครที่ผิวแห้งขาดน้ำมอยเจอร์ไรเซอร์นับว่าเป็นอีกตัวเลือกที่ดีในการกู้คืนผิว แต่ก็มีหลายคนที่ใช้มอยเจอร์ไรเซอร์แล้วผิวไม่ดีขึ้นเลย!!! นั่นเป็นเพราะเลือกใช้มอยเจอร์ไรเซอร์ที่ไม่เข้ากับผิว และ ก็ยังมีบางคนที่ไม่รู้ว่า มอยเจอร์ไรเซอร์ ทาตอนไหน คิดจะทาก็ทาเลยทำให้ผลที่ต้องได้ไม่ดีเท่าที่ควร ใครที่กำลังเจอกับปัญหาทามอยเจอร์ไรเซอร์ไม่ได้ผลไม่ควรพลาด เพราะวันนี้ ResiSKIN จะมาแนะนำการทาที่ถูกต้องแบบ STEP BY STEP ไม่อยากพลาดก็ไปอ่านบทความกันเลย!!!
เลือกสกินแคร์ให้ตรงกับสภาพผิว
เคยไหมใช้สกินแคร์ตามเพื่อน หรือ อินฟลูเอนเซอร์ แต่ผลกลับไม่เหมือนกัน เหตุผลที่ไม่ได้ผลดีอาจจะมาจากการที่สภาพผิวของเราแตกต่างกัน สภาพผิวแต่ละประเภทก็มีผลต่อการใช้ครีม วิธีการเช็คง่ายๆ สำหรับคนที่ไม่รู้ให้ทำการล้างหน้า และ ซับหน้าให้แห้งแล้วทิ้งเอาไว้เป็นเวลาประมาณ 10 – 30 นาที แล้วดูว่าสภาพผิวเป็นอย่างไร
- ผิวปกติ (Normal Skin) ใครที่ซับหน้าแล้วสภาพผิวปกติจะเป็นผิวที่ไม่มันจนเกินไป และ ไม่แห้งจนเกินไป เป็นผิวที่มักจะไม่ค่อยมีปัญหาผิวมากนัก สามารถใช้มอยเจอร์ไรเซอร์เนื้อแบบไหนก็ได้ เช่น เนื้อครีม หรือ เนื้อโลชั่น
- ผิวมัน (Oily Skin) ส่วนใครที่หน้าเริ่มมีความมันขึ้นมาแสดงว่าคุณเป็นคนผิวมัน มักจะเกิดสิวได้ง่ายเหมาะกับมอยเจอร์ไรเซอร์ที่เป็น เนื้อเจล น้ำ หรือ เซรั่ม เพราะเนื้อบางเบาไม่หนัก และ ไม่ทำให้เกิดการอุดตัน
- ผิวแห้ง (Dry Skin) หากใครที่หลังล้างหน้า ผิวมีความตึงๆ ดูแห้ง ผิวดูหมองคล้ำ มักจะเจอกับปัญหาริ้วรอยได้ง่าย แนะนำให้ใช้มอยเจอร์ไรเซอร์ในรูปแบบ เนื้อครีม สีผึ้ง หรือ เนื้อน้ำมัน ที่มีเนื้อสัมผัสเข้มข้น ซึ่งจะช่วยในการทำให้ผิวกลับมาอิ่มน้ำ
- ผิวผสม (Combination Skin) หากใครที่ผิวมันเฉพาะในช่วง T-zone (หน้าผาก จมูก คาง) และ ในส่วนอื่นๆ ผิวปกติไปจนถึงมีผิวแห้ง คนที่มีผิวผสมควรจะใช้มอยเจอร์ไรเซอร์ให้เหมาะกับบริเวณที่ต่างกัน ใครที่ไม่อยากใช้หลายตัวก็อาจจะเลือกที่เป็น เนื้อเจล ที่บางเบาแต่เข้มข้นก็ได้
- ผิวแพ้ง่าย (Sensitive Skin) สำหรับใครที่ล้างหน้าแล้ว รู้สึกตึงๆ ผิวเริ่มแดงๆ แสบ หรือ คันหน้า แสดงว่าคุณเป็นคนที่มีผิวแพ้ง่าย ควรจะ เลือกมอยเจอร์ไรเซอร์เนื้อบางเบา ที่ไม่หนักหน้า และ ปราศจากสารปรุงแต่ง หรือ เป็นมอยเจอร์ไรเซอร์สำหรับผิวแพ้ง่ายโดยเฉพาะ
>>สามารถอ่าน Checklist เลือกสกินแคร์ให้เหมาะกับผิว ได้ที่นี่<<
วิธีการใช้ มอยเจอร์ไรเซอร์ ทาตอนไหน ให้ได้ผลดี ?
เมื่อเรารู้แล้วว่าผิวของเราเป็นผิวแบบไหน ควรจะใช้มอยเจอร์ไรเซอร์ที่มีเนื้อสัมผัสแบบไหน ก็จะถึงขั้นตอนการลงสกินแคร์กันแล้ว โดยวันนี้เราจะมาแนะนำเทคนิคการลงสกินแคร์ให้ได้ผล โดยเราจะใช้ผลิตภัณฑ์ของ ResiSKIN ครีมเวชสำอางที่เหมาะกับคนทุกสภาพผิว แม้จะมีผิวแพ้ง่ายก็สามารถใช้ได้ มาดูกันว่าต้องลงแบบไหนบ้าง มาทำตามกันเลยแบบ STEP BY STEP !!!
มอยเจอร์ไรเซอร์ใช้ทาตอนไหน ?
การทามอยเจอร์ไรเซอร์สามารถใช้ทาได้ทั้งใน ตอนเช้า และ ก่อนนอน หากใครที่ต้องการเติมความชุ่มชื้นให้ผิว หลังล้างหน้าแล้วให้ใช้ภายใน 3 นาที เพราะความชุ่มชื้นในผิวยังเหลืออยู่ เมื่อเราทามอยเจอร์ไรเซอร์ลงไปจะทำให้ซึมเข้าผิวได้ดีกว่าตอนที่เราทาไปบนผิวที่แห้ง และ ไม่ควรทามอยเจอร์ไรเซอร์หลังล้างหน้าเสร็จใหม่ๆ เพราะผิวยังคงมีน้ำหลงเหลืออยู่ ทำให้เมื่อทาลงไปเนื้อสกินแคร์จะซึมลงผิวได้ไม่ดี เฉพาะฉะนั้นในช่วง 3 นาทีหลังล้างหน้าดีที่สุด!!!
ทามอยเจอร์ไรเซอร์อย่างไรให้ได้ผล ?
การจะใช้มอยเจอร์ไรเซอร์จะลงมาก หรือ ลงน้อยขึ้นอยู่กับว่าเนื้อสัมผัสของมอยเจอร์ไรเซอร์เป็นแบบไหน หากเป็นเนื้อที่มีความเข้มข้นมากอย่างเนื้อครีม เนื้อน้ำมันก็ไม่จำเป็นต้องลงให้หนักเกินไป แต่ถ้าเป็นเนื้อสัมผัสที่มีความบางเบาก็ให้ลงให้ทั่วใบหน้า หากเรารู้สึกว่าหน้ายังแห้งๆ อยู่ก็ให้ลงเพิ่มได้ (ลงน้อยยังเพิ่มได้แต่ลงมากเกินไปมีแต่ต้องเช็ดออกนะคะ)
- STEP 1 – การลงสกินแคร์ให้ใช้นิ้วกลาง หรือ นิ้วนางในการทา เพราะว่าเป็นนิ้วที่มีแรงกดพอดี เมื่อทาลงผิว ผิวจะมีการเสียดสีได้น้อย ทำให้ไม่ก่อให้เกิดการอักเสบ หรือ ช้ำบริเวณผิว
- STEP 2 – ทาผลิตภัณฑ์ ResiSKIN จากด้านบนลงล่าง และ ใช้นิ้วเกลี่ยให้ทั่วใบหน้าจนถึงลำคอ (ไม่ควรทาเป็นวงกลมเพราะจะทำให้เกิดริ้วรอยได้)
หากใช้สกินแคร์หลายตัวต้องลงมอยเจอร์ไรเซอร์ตอนไหน ?
สำหรับใครที่มีสกินแคร์ที่ใช้บำรุงผิวอยู่หลายตัว จะต้องอาศัยการลงสกินแคร์โดยดูจากเนื้อสัมผัสของผลิตภัณฑ์จากเนื้อบาง (เซรั่ม/น้ำ/เจล) ไปจบที่เนื้อหนัก (ครีม/น้ำมัน) โดยในแต่ละชั้นที่ลงสกินแคร์ไม่ควรลงให้มากเกินไป เพราะหากเป็นเนื้อที่บางเบาก็จะดูดซึมเข้าผิวได้ง่าย แต่ถ้าเป็นเนื้อที่หนาก็ทำให้ดูดซึมได้ยากเมื่อทาลงไปมากๆ จะทำให้สกินแคร์ตัวอื่นๆ จะไม่ถูกดูดซึมเข้าผิว อีกทั้งสกินแคร์บางตัวเมื่อทาเยอะไปอาจจะขัดขวางการทำงานของอีกตัวได้ ในระหว่างที่ลงสกินแคร์แต่ละตัวไม่ควรรีบลงติดกัน อาจจะเว้นระยะให้แต่ละตัวซึมเข้าผิวก่อนแต่ก็ไม่ใช่บ่อยไว้นานจนแห้ง ส่วนใหญ่มอยเจอร์ไรเซอร์จะดูดซึมได้ง่าย สามารถให้ความชุ่มชื้นได้ยาวนาน 2 – 6 ชั่วโมง* ขึ้นอยู่กับผลิตภัณฑ์ที่ใช้ ทำให้ไม่จำเป็นต้องทาซ้ำหลายๆ รอบ เนื่องจากมีส่วนผสมในการเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว หากทามากเกินไปอาจทำให้หน้ามันวาวเกินไปได้ อย่างผลิตภัณฑ์ของ ResiSKIN ครีมเวชสำอางที่ช่วยให้ผิวชุ่มชื้นอิ่มน้ำยาวนานถึง 7 วัน
ลำดับการลงสกินแคร์อื่นๆ ร่วมกับการใช้มอยเจอร์ไรเซอร์ให้ได้ผล
- เช็ดหน้าให้สะอาดด้วยคลีนเซอร์ หรือ รีมูฟเวอร์ ก่อนที่จะไปล้างหน้า เพื่อเอาสิ่งสกปรกที่อุดตันออกก่อน และ ช่วยในการลบเครื่องสำอางที่เป็นต้นเหตุของการเกิดสิว และ ปัญหาผิวอื่นๆได้ดี
- หลังล้างหน้า และ เช็ดหน้าให้เรียบร้อย ให้เช็ดด้วยโทนเนอร์ซึ่งจะช่วยในการปรับรูขุมขนที่เปิดจากการล้างหน้าให้เล็กลง และ เป็นการช่วยทำความสะอาดผิวอีกครั้งก่อนที่เราจะลงสกินแคร์ตัวอื่นๆ
- ลงอายครีม หรือ พวกเซรั่มใต้ตา หากใครที่ไม่มีก็สามารถใช้มอยเจอร์ไรเซอร์แทนได้
- ทาครีมแต้มสิว หรือ ครีมลดริ้วรอย ใครที่ไม่มีปัญหาเรื่องนี้ก็สามารถข้ามไปขั้นตอนถัดไปได้
- ลงสกินแคร์บำรุงต่างๆ โดยให้ลงตามเนื้อสัมผัสของสกินแคร์จากบางเบาไปจนถึงเนื้อสกินแคร์ที่หนัก
ลำดับการทาเนื้อสกินแคร์ มอยเจอร์ไรเซอร์ (เริ่มจากเนื้อเบาบาง > เนื้อหนัก แล้วตามด้วยเนื้อน้ำมัน)
- เนื้อน้ำ (น้ำตบ / เอสเซนส์)
- เนื้อเซรั่ม / เนื้อเจล
- เนื้อโลชั่น
- เนื้อครีม
- เนื้อบาล์ม
- เนื้อน้ำมัน
เคล็ดลับเพิ่มเติมในการดูแลผิว
ในแต่ละครั้งที่ลงสกินแคร์แต่ละตัวไม่ควรใช้ผลิตภัณฑ์มากเกินไป เพราะจะทำให้ซึมผ่านผิวหนังได้ไม่หมด และ เมื่อลงสกินแคร์หนักๆ หลายตัวก็อาจจะทำให้เกิดการอุดตันได้ ก่อนที่เราจะใช้สกินแคร์ควรจะทำการเทสผลิตภัณฑ์ก่อนใช้ว่าเราแพ้หรือไม่ โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่มีการปรุงแต่งสี แต่งกลิ่นต่างๆ และ ไม่ควรเปลี่ยนผลิตภัณฑ์บ่อยจนเกินไป เพราะอาจทำให้ผิวอ่อนแอลง เพราะอาจจะทำให้เกิดการแพ้ได้
ResiSKIN ผลิตภัณฑ์สำหรับคนที่มีปัญหาผิว !!!
ครีมเวชสำอางของ ResiSKIN มาพร้อมกับส่วนผสมของ Extremolytes 7% ที่ช่วยในการฟื้นฟูผิวให้กับมาดูดี และ สตรอง ฟื้นฟูเกราะป้องกันผิวให้กลับมาแข็งแรง สร้างเกราะความชุ่มชื้น (Hydro complex) ในชั้นผิว เพื่อลดอาการอักเสบ ระคายเคือง ทำให้ผิวของเราชุ่มชื้นได้ยาวนานมากยิ่งขึ้นถึง 7 วัน ช่วยปกป้องผิวจากทุกสภาวะทำให้ผิวชุ่มชื้นไม่แห้งแตก และ ยังช่วยในการลดการอักเสบของผิวที่เกิดความเสียหายจากปัจจัยต่างๆ อ่อนโยนต่อผิว เพราะไม่มีส่วนประกอบของน้ำหอม พาราเบน สารปรุงแต่งสังเคราะห์ต่างๆ
เป็นผลิตภัณฑ์ที่เนื้อครีมซึมเข้าผิวได้ง่าย ไม่เหนอะหนะ ใช้งานได้ง่ายจะตอนเช้า หรือ ก่อนนอนก็ไม่เป็นปัญหา!!!
- สร้างเกราะป้องกันผิวจากสภาพอากาศที่ไม่เป็นใจทำให้ผิวสุขภาพดี
- ช่วยในการลดระดับความเสียหายของเซลล์ผิว
- ช่วยป้องกันการเกิดจุดด่างดำจากมลภาวะต่างๆ
- เพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิวยาวนานถึง 7 วัน
- ช่วยในเรื่องการลดเลือนริ้วรอย สามารถช่วยลดริ้วรอยได้แม้จะจุดที่อ่อนโยนอย่างบริเวณรอบดวงตา
- ช่วยในการลดการอักเสบของผิวจากปัจจัยต่างๆ
- ช่วยสำหรับคนที่มีปัญหาโรคผิวหนังอักเสบเรื้อรัง
- ป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำของปัญหาผิวต่างๆ
ResiSKIN เสมือนกับเป็นมอยเจอร์ไรเซอร์ไปในตัว ช่วยทั้งเพิ่มความชุ่มชื้น เสริมเกราะป้องกันผิว ช่วยลดการอักเสบ ช่วยแก้ให้ปัญหาผิว และ ป้องกันกลับมาเป็นซ้ำของผิว ใครที่ลงสกินแคร์ไปแล้วไม่ได้ผล ลองลงตามขั้นตอน และ สเต็ปที่เราแนะนำไปเพียงเท่านี้ผลของสกินแคร์ที่ใช้ก็จะได้ผลมากยิ่งขึ้น!!!
อย่าให้ปัญหาผิวมากวนใจ ผิวสตรองขึ้นได้ด้วยResiSKIN
ใครที่สนใจสั่งซื้อ ResiSKIN สามารถกดที่ link ด้านล่างนี้ได้เลย
Facebook : Resiskin by Qualisk
Line : @resiskin
Shopee : ResiSKIN by QUALISK
Lazada : Qualimed